จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"พิธียกน้ำชา"

ในประเพณีการแต่งงานแบบจีน "พิธียกน้ำชา" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คู่บ่าว-สาวจะขาดไม่ได้ เนื่องจากพิธียกน้ำชาแสดงถึงการเคารพและคารวะญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีขั้นตอนเริ่มแรกคือจากการจัดที่นั่งให้ผู้ใหญ่ โดยให้คุณพ่อเจ้าบ่าวนั่งด้านซ้ายของคุณแม่ จากนั้นคู่บ่าว-สาว คลานเข่ายกถาดชาที่มีถ้วยชา 2 ใบรินน้ำชาเตรียมไว้แล้วยกให้คุณพ่อคุณแม่ ท่านจะหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มกัน โดยจะจิบแค่นิดหน่อย ห้ามจิบหมดถ้วย เพราะถือว่าน้ำชาที่เหลือมอบเป็นทุนกลับไปให้คู่บ่าว-สาว (ส่วนใหญ่นิยมเทกลับไปในกา) 

          จากนั้นคู่บ่าว-สาวจึงยกย้ำชาให้ญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นตามลำดับความอาวุโส ทั้งนี้ ทุกครั้งที่ยกน้ำชา ต้องรินชาใส่ถ้วย 2 ใบทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ที่คู่ชีวิตเสียไปแล้ว แต่แทนที่ผู้ใหญ่จะดื่มเองทั้ง 2 ถ้วย ก็ดื่มแค่ถ้วยเดียว ส่วนผู้ใหญ่ที่คู่ชีวิตยังมีชีวิตอยู่แต่มาไม่ได้ ก็ให้ดื่มทั้ง 2 ถ้วย เมื่อผู้ใหญ่ดื่มแล้วจะให้ศีลให้พร และมอบเงินทองให้คู่บ่าว-สาวโดยใส่ไว้ในถาด 

          ต่อมาคู่บ่าว-สาวจะร่วมกันรับประทาน ขนมอี๊ (เป็นขนมบัวลอยจีน ใช้แป้งข้าวเหนียวนวดจนได้ที่ปั้นเป็นลูกกลม ผสมสีชมพูเพื่อให้ได้สีสิริมงคล) ซึางเป็นอันเสร็จพิธี 

          สำหรับลักษณะของกาและถ้วยชาใน พิธียกน้ำชา ต้องเป็นถ้วยชาแบบจีน ไม่ควรใช้ถ้วยชาที่มีหู และควรมีถาดในการยกน้ำชาด้วยทุกครั้ง ส่วนชาที่ใช้ในพิธีจะเป็นชาจีนหรือชาฝรั่งก็ไม่ผิดธรรมเนียมแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ความหมาย ของ "ของชำร่วย" แต่ละชนิด

งาน แต่งงานแต่ละงานแน่ ละต้องหนีไม่พ้นเรื่องของชำร่วยที่ต้องแจกให้กับแขกที่มาร่วมงา น แล้วบรรดาแขกต่างทราบมั๊ยว่าของชำร่วยที่คู่บ่าวสาวเค้าบรรจงสร รสร้างมาแจก เราๆท่านๆทั้งหลายมีความหมายค่ะ เพราะของชำร่วยเหล่านี้สามารถสื่อถึงความในใจเจ้าของงานได้ และของแถมค่ะของแถมมาคราวนี้เราจะบอกวิธีการแก้เคล็ดของการเลือ กของชำร่วย แต่ละประเภทด้วยค่ะอยากทราบกันแล้วล่ะสิตามมาเลย…

 1.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่มีเชือกผูก ความหมาย แสดงถึงความผูกพันของคู่บ่าวสาวที่มีต่อกัน ความรักแน่นแฟ้น การมิพรากจากกัน ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึงการผูกปม ผูกมัด ดิ้นไม่หลุด บ่วงคล้องคอ วีธีแก้เคล็ด ตรงไหนมัดแน่น ก็ทำให้หลวมๆไว้

 2.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่มีวัสดุสานๆล้อมรอบ ความหมาย แสดงถึงสานสายใยของคนทั้งคู่ คือความห่วงใยที่มีให้กันเสมอมาและตลอดไป ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ ต้องมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวเกิดขึ้น ขาดอิสระโดยสิ้นเชิง ติดร่างแหไปทุกๆเรื่อง วีธีแก้เคล็ด เหลือช่องไว้มั่ง หรือใช้ลักษณะการสานที่เน้นสวยงามเป็นหลัก ไม่ใช่ดูแข็งแรง ติดแน่น

 3.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นหุ่นหรือตุ๊กตา(ทั้งเดี่ย วหรือคู่) ความหมาย เป็นไปตามตัวของตุ๊กตา บ้างก็เป็นคู่คนแก่ซึ่งก็คือการรักกันจนเฒ่าจนแก่ บ้างเป็นรูปตุ๊กตาน่ารักๆ แสดงความน่ารักของคู่บ่าวสาว ตรงกันข้าม คู่ บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง เค้าเห็นคุณเป็นหุ่นเชิด มองคุณเป็นแค่ของเล่น หรือรวมไปการใช้ไสยศาสตร์มาผูกมัดในตัวคุณ วีธีแก้เคล็ด เน้นเป็นตุ๊กตาทอง หรือเงิน ที่มุ่งไปทางโชคลาภเงินทองไหลมาเทมาดีกว่า หรือรูปสัตว์นำโชคจะเก๋กว่าเยอะค่ะ

 4.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นของที่ถูกกรอบ หรือครอบ(เช่นลูกกะพรวน) ความหมาย กรอบเป็นสิ่งที่ทำให้อะไรๆที่อยู่ในกรอบ มันทรงคุณค่า มีค่า หากเป็นความรักก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน บูชาในความรัก ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ ไม่แปลกหากหลังแต่งงานไปแล้วคุณจะถูกปิดกั้นทุกๆอย่างจากคนรักข องคุณ อยู่ในกรอบในเกณฑ์ วีธีแก้เคล็ด กรอบต้องไม่แข็งทื่อ ควรเป็นกรอบที่ลวดลาย ดูแล้วนุ่มนวลสวยงาม สีก็ต้องไปในทางสดใสหรือสวยๆจะทำให้อะไรๆมันดูนุ่มนวลอ่อนโยนขึ ้น

 5.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นสมุด/หนังสือ/ปากกา(เล็กๆ ) ความ หมาย การมองเห็นคุณค่าในสิ่งของ หรือการมองเห็นคนรักคือสำคัญเป็นที่สุด รวมไปถึงการบันทึกในเรื่องราวความรักระหว่างกันและกันตลอดระยะเ วลาที่อยู่ด้วยกัน ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง ความละเอียด จู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ทุกๆเรื่อง คอมเม้นท์ เน้นๆว่างั้นเหอะ.. วีธีแก้เคล็ด ควรมีตัวหนังสือที่สื่อไปในทางความรัก ขีดบนปก หรือแปะติดไว้น่าจะดีขึ้น

 6.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นของใช้เครื่องใช้เป็นคู่ๆ (เช่นตะเกียบ) ความ หมาย อันนี้แสดงออกเห็นได้ชัดถึงความผูกพันที่ขาดออกจากกันไม่ได้โดย สิ้นเชิง เหมือนราวกับว่า เพราะเรานั้นคู่กัน ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง ติดกันเป็นปลาท่องโก๋เลยแหล่ะ ติดสอยห้อยตามในทุกๆที่ ตามแจว่างั้นเหอะ สืบเก่งมากๆ วีธีแก้เคล็ด อย่า ทำให้ดูว่าเป็นของใช้ เช่นแจกไปแล้วแกะเอาไปกินบะหมี่ได้ทันที อันนี้ห้าม การออกแบบให้ดูเป็นของที่ระลึกให้มากที่สุด หรือน่ารักๆคิกขุไปเลย..

 7.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นดอกไม้ ความหมาย ความหอมหวาน ความสวยงาม ของดอกไม้ มันแทนความรักที่พรั่งพรูซะเหลือเกิน เหมือนยามที่พลอดรักกันตามโกสุมพุ่มไม้..อิอิ(มั้ง บางคู่) ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง ช่วงแรกก็หอมหวานหรอก แต่พอหมดกลิ่นแล้วละก้อ เหี่ยวเฉาทั้งชีวิต วีธีแก้เคล็ด อย่าให้เป็นแต่ดอกให้ปนไปด้วยผล หรือ กลีบใบ กระถาง หญ้า หรือบัวรดน้ำ ให้มีสีเขียวสดไว้แต้มนิดนึงก็ดีนักแล

8.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นเซรามิกรูปต่างๆ ความหมาย เป็นไปตามรูปของเซรามิก ว่าสื่อถึงอะไร แล้วบวกไปว่าความรักของทั้งคู่เคยผ่านอุปสรรคมามากมาย เหมือนเรือที่เจอมรสุมกลางทะเล ที่ไม่เคยกลัววันล่ม ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง รอวันแตกหักซักวัน น่า..คงซักวันแหล่ะ.. คอยดูสิ.. หักแล้วยากที่จะต่อกันได้อีกเลย วีธีแก้เคล็ด เซรามิกให้เน้นความสวยงาม แข็งแรง ทนทาน ทางที่ดีมีถุงห่อสวยๆอีกทีจะดีมาก

  9.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นเปลือกหอย หรือทำจากเศษวัสดุเหลือใช้ ความหมาย เช่นกันอันนี้ก็บ่งบอกถึงการมองเห็นในคุณค่า ซึ่งแม้ใครจะว่าคุณเป็นไง แต่คุณก็ยังเป็นอะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้าคนนั้นเสมอ..นะ ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง สักวันก็คงกลายเป็นขยะที่จะถูกทิ้ง ไม่สนใจใยดี หมดค่าไร้ความหมาย วีธีแก้เคล็ด พยายามใช้สีสันตกแต่วัสดุพวกนั้นให้มากๆ อย่าใช้ลวดลายจากวัสดุนั้นมากเกินไป หรือการดัดแปลงให้ดูสวยงามให้มากที่สุด

 10.คู่แต่งเลือกของชำร่วยประเภทที่เป็นของแหลม ของมีคม เป็นแท่งๆ ความหมาย อันสุดท้ายนี้ดูว่าคู่รักพวกนี้ เกิดจากอะไรที่คาดไม่ถึง เป็นรักที่เซอร์ไพร์หัวใจทุกดวงที่อยู่รอบข้าง เป็นรักสายฟ้าแลบ ดูใจกันน้อย แต่รักกันนาน ตรงกันข้าม คู่บ่าวสาวที่เลือกของชำร่วยประเภทนี้ แสดงถึง การทิ่มแทงจากปัญหาที่รุมเร้า อยู่ไปด้วยความเจ็บปวดขื่นขมทุกข์ทน ทรมาน วีธีแก้เคล็ด อย่าแหลมเป็นพอ ทู่ๆไว้ โค้งมน จะดูดีกว่ากันรับรองแบบว่าปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้อ่ะนะ
ง่ายๆ สบายๆชิวๆ สำหรับความหมายและวิธีการแก้เคล็ดสำหรับคู่บ่าวสาวยุคใหม่เราต้ องมีวิธีการ แก้ไขเสมอทีนี้ก็ชวนกันไปเลือกของชำร่วยให้สบายใจทีนี้รับรองว่ าถูกใจทั้ง ผู้รับและผู้ให้ค่ะ
ขอบคุณบทความโดย อ.เทวีโชค

ขนมในขบวนขันหมาก

ขนมที่ใช้ในขบวนขันหมาก นิยมจัดเป็นคู่ ในสมัยโบราณใช้ ขนมมากมายหลายอย่าง แต่ที่สำคัญ ๆ มี ขนมกง ขนมทองเอก ขนมชะมด ขนมสามเกลอ ขนมโพรงแสม ขนมรังนก ซึ่งปัจจุบันนอก จากจะหายากแล้ว บางทีเอ่ยชื่อมา หลายคนคงไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินก็มี ขนม ยอดนิยมสำหรับการทำบุญต่าง ๆ ในปัจจุบัน ก็คือ ขนมทองหยิบ ขนมฝอยทอง ขนมเม็ดขนุน ขนมลูกชุบ ขนมชั้น ขนมหม้อแกง ขนมข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว ฯลฯ    ส่วนขนมที่ไม่นิยมใช้ในงานแต่งงาน หรือ งานมงคล ก็มี เช่น ขนมต้มแดง ต้มขาว เพราะโดยทั่วไปจะใช้ใน การทำพิธีทางไสยศาสตร์
หาก ขนมยังติดกัน ทั้งสามลูก หมายถึง คู่บ่าวสาวจะอยู่กินด้วยกัน อย่างมีความสุข และมีลูกหลาน สืบสกุล หากขนมติดกัน แค่สองลูก หมายถึง อาจจะมีลูกยาก หรือไม่มีลูก แต่ยังครองรักกันครองเรือนร่วมกัน หากขนมแยกออกจากกันหมด หมายถึง ชีวิตคู่อาจจะไม่ยืดยาว เรื่อง นี้มีการแก้เคล็ดหรือป้องกันต่าง ๆ กัน เช่น เอาไม้เสียบไว้ก่อนทำการทอดเพื่อไม่ให้หลุด หรือใช้วิธี การผสมให้แป้ง มีความเหนียวพิเศษ ฯลฯ

     ขนมกง เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวหรือถั่วทอง ข้าวตอก แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลโตนด มะพร้าวห้าว น้ำมันมะพร้าว ถั่วคั่วจนสุกเหลืองแล้วเราะเปลือกออก มีวิธีทำค่อนข้างลำบาก และต้องชุบแป้งก่อนทอดน้ำมัน เสร็จแล้วยังต้องทำฝอยสำหรับหุ้มชิ้นขนมอีกด้วย
      ขนมสามเกลอ ทำจากแป้งข้าวเหนียว ไส้ทำด้วยมะพร้าวห้าวขูดเป็นฝอย กวนน้ำตาล ใส่ถั่วเขียว หรือถั่วทองคั่วสุก ใช้ไม้เสียบให้ติดกัน ๓ ลูกแล้วชุบแป้งทอด มีฝอยหุ้มเช่นเดียวกับขนมกง
      ขนมชะมด ทำไส้ด้วยถั่วเขียวหรือถั่วทอง นำมาแช่น้ำ ๖ ชั่วโมงแล้วนึ่งให้สุก ใส่เกลือพอเค็มกร่อย ๆ โขลกจนเหนียวปั้นเป็นก้อน ปั้นเป็นลูกไม่ต้องหุ้มแป้ง ใช้ไม้เสียบเป็นก้อนเส้าแล้วชุบแป้งทอด มีฝอยหุ้มเช่นเดียวกัน
      ขนมโพรงแสม ทำจากแป้งข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว ผสมแล้วห่อผ้าทับให้แห้งปั้นเป็นลูกกลม ต้มหรือนึ่งให้สุก อย่างขนมจีน ใส่ครกโขลกให้แป้งสุกกับดิบเข้ากัน นำไปนวดกับกะทิที่เคี่ยวจนแตกมัน เมื่อนวดได้ที่ นำไปแผ่ คลึงด้วยกระบอกไม้ไผ่บนใบตองสด นำลงทอดน้ำมันทั้งไม้กระบอก เมื่อแป้งสุกจะกลมตามรูปกระบอกและหลวมตัว เอาไม้เขี่ยกระบอกออก เหลือแต่เนื้อขนม ทอดต่อไปจนเหลือง โรยหน้าด้วยน้ำตาลเคี่ยวเป็นรูปต่าง ๆ ให้สวยงาม
     เกี่ยว กับขนมต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีแต่งงานสมัยโบราณนั้น พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวไว้ในภาคผนวก ของหนังสือเล่มเดียวกันนี้ หากต้องการรายละเอียดก็สามารถไปหาอ่านได้

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เกณฑ์ในการพิจารณาในการเลือกใช้สีในวันงาน

   เมื่อ พูดถึงสีที่ใช้ในงานแต่งงานสีที่ เจ้าสาวและเจ้าบ่าวทุกคนที่จะต้องคิดถึงคือ สีขาว แต่งานแต่งงานก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่สีขาวสีเดียวเท่านั้น  เพราะเราสามารถเลือกใช้สีเพื่อแสดงถึงบุคลิกภาพ ความเป็นตัวตนของคุณ และรูปแบบของงานได้ ด้วยเช่นกัน และถ้าเรารู้จักการเลือกใช้สีในงานแต่งงาน สีก็จะช่วยสร้างอารมณ์ และความรู้สึกให้กับแขกที่มาร่วมงานสำคัญของคุณได้อย่างไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
เกณฑ์ในการพิจารณาในการเลือกใช้สีในวันงาน

สถานที่จัดงาน สถานที่ที่คุณ เลือกใช้ในการจัดงานคือที่ใด มีรูปแบบลักษณะใดและโทนสีของสถานที่จัดเลี้ยง นั้นเป็น โทนใด ถ้าห้องที่ใช้จัดเลือกเป็นห้องทึบหรือสีเข้ม ก็ควรที่จะเลือกการใช้สีโทนอ่อนเข้ามาช่วยเพื่อลดความเข้มหรือทึบของห้องลง ไป ทำให้ห้องดูสว่างสดใสไปได้มากทีเดียว
อุปนิสัยของคู่บ่าวสาว ให้ลองดูง่ายๆว่าคุณทั้งสองเป็นอย่างไร แล้วมาเลือกใช้สีที่สื่อแสดงความเป็นตัวคุณออกมาได้ เพราะสีสามารถบ่งบอกความเป็นตัวคุณได้วิธีนึง
เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่ใช้ในวันงาน  เจ้าสาวส่วนมากจะนิยมที่จะใช้ชุดสีขาวในงาน เครื่องประดับที่สามารถเลือกใช้ก็สามารถเลือกได้หลากหลายทีเดียว แต่ถ้าชุดของคุณเป็นสีครีม เงิน หรือว่าทอง ฯลฯ ก็ควรที่จะเลือกใช้เครื่องประดับที่มีสีสันไม่แตกต่างจากชุดมากนัก(อย่าใช้ หลายสี)
ฤดูกาล จะ เป็นสิ่ง ที่คู่บ่าวสาวสามารถใช้เป็นแนวทางในเลือกสีที่ใช้ในวันงานเช่นกัน ถ้าคุณจัดงานแต่งงานในฤดูร้อน คุณสามารถเลือกสีสันสดใสหรือแนวสีพาสเทลนุ่มๆได้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศใน ช่วงนั้น สำหรับผู้ที่จัดงานเลี้ยงกลางแจ้ง ปาร์ตี้ในสวยสวย การเลือกใช้สีในแนวนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะจะทำให้บรรยากาศดูสดใส สดชื่นและคลายร้อนให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงของคุณแต่ถ้าเป็นฤดูหนาว หรือการจัดเลี้ยงในห้องจัดเลี้ยง การใช้สีทอง เงินและแดง ดูจะเหมาะสมมากกว่า เพราะจะดูหรูหรา สง่างาม
แสงสี นอก จากสี แล้วคุณยังสามารถเอาแสงมาช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้กับงานของคุณได้ด้วย โดยเฉพาะแสงสว่างจากเทียนไข แทนแสงสว่างจากการใช้แสงสว่างจากหลอดไฟธรรมดา แต่ต้องอย่าลืมนึกด้วยว่าแสงสว่างจากเทียนไขนั้นจะส่องสว่างเป็นโทนสีส้ม และอาจจะส่งผลกระทบต่อสีของดอกไม้ และสิ่งต่างๆที่ใช้จัดในงานด้วย
         เมื่อคุณสามารถกำหนดสี ที่ใช้ในวันงานได้แล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อไปคือ การเลือกใช้สีที่ใกล้เคียงกัน เพื่อช่วยให้เกิดความหลากหลายภายและน่าสนใจในงาน แต่ต้องอยู่ในโทนสีเดียวกันเจ้าสาวหลายๆคนชอบสีชมพูแต่สีชมพูอาจจะอ่อนเกิน ไปเราสามารถไล่ค่าสีมาช่วยให้เกิดความน่าสนใจได้มากขึ้น สีที่สามารถอยู่ร่วมกับสีชมพูได้คือ สีขาว และค่อยๆเพิ่มความเป็นชมพูได้มากขึ้นเรื่อยๆจนถึงชมพูเข้ม    
      เจ้าสาวอาจจะเลือกชุดและการแต่งกาย ในโทนสีชมพูอ่อน และตกแต่งสถานที่โดยการใช้สีชมพูที่เข้มกว่า การเพิ่มควรมีการไล่ระดับทีละนิดเพื่อไม่ให้ดูโดดมาเกินไป ถ้าอยากให้ดูหรูหรามากขึ้น คุณสามารถเติมสีเงินหรือสีทองแทนสีขาวได้เช่นกัน        ถ้าอยากให้เกิดความ น่าสนใจมากกว่านี้ คุณสามารถเลือกใช้สีอื่นได้มากกว่า 1 สี แต่ไม่เกิน 3 สี แล้วนำมาอยู่รวมกัน และต้องอยู่ในโทนใกล้เคียงกัน เช่น สีเหลือง สีเหลืองมะนาว สีส้ม, สีฟ้า สีม่วงแดง การจัดให้สวยควรจะมีสีอ่อน 1 สี และสีเข้ม 2 สี หรือจะจัดอย่างละเท่าๆกันก็ได้
 

*** ความหมายของสีต่างๆ ***


การเลือกใช้สีในงานแต่งงาน สีก็จะมีความหมายในตัวของมันเองด้วยเช่นกัน ดังนี้
  • สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ ความเชื่อถือ และความหวัง
  • สีชมพู หมายถึง ความรัก และเพศหญิง
  • สีเขียว หมายถึง ความเข้ากันได้ ความเอาใจใส่ ความสมดุล และความรักบ้าน
  • สีแดง หมายถึง ความหลงไหล ความสนุกสนาน เพศ
  • สีฟ้า หมายถึง ความผ่องแผ้ว ความสงบ ความ พักผ่อน
  • สีเหลือง หมายถึง ความมีชีวิตชีวา ความร่าเริง
  • สีม่วง หมายถึง ความรวดเร็ว ความหรูหรา ร่าเริง
การใช้สีเราจะใช้ได้ที่ ใดบ้างในงาน
       การใช้สีภายในงานสามารถ ใช้ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น ของใช้ทุกอย่างภายในงานแต่งงาน ผ้าปูโต๊ะ การห่อของชำร่วย การ์ด เมนูอาหาร ผ้าเช็ดปาก ดอกไม้ในวันงาน อาหาร ผลไม้ เครื่องดื่มที่ใช้ รวมถึง เสื้อผ้า รองเท้า ดอกไม้เลยทีเดียวและถ้าหากไม่มั่นใจก็แนะนำให้ลองทำภาพจำลองรูปแบบงานและการ ใช้สีลงไปในงานของคุณอย่างง่ายๆก่อน เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนและมั่นใจกับงานที่จะออกมามากขึ้นนั่นเอง ว่าที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวลองมาเลือกใช้สีในวันงานกันดีไหมคะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

จะเชิญใครบ้างมางานแต่ง

ไม่ เร็วเกินไปหรอกค่ะที่จะเริ่มพูดคุยปรีกษากันเรื่อง list ของแขกที่จะเชิญมางานแต่งของคุณ ก่อนที่คุณจะเชิญแขกมางานคุณควรจะปรึกษากับคู่ของคุณก่อนและช่วยกันตอบคำถาม ต่อไปนี้
ขนาดของงาน แต่งงานที่คิด ไว้เป็นอย่างไร
ก่อนอื่นต้องคุณและคู่ของคุณต้องเข้าใจตรงและมีความเห็นตรงกันก่อนว่างาน แต่งงานของคุณนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน รองรับแขกได้กี่คน
ใครบ้างคือคนสำคัญที่คุณ ต้องให้เค้ามามีส่วนร่วมในงานแต่งงานของคุณ
คุณ จะไม่มีทางรู้เลยว่าแขกคุณมามางานกี่คนจนกว่างานแต่งงานคุณจะเลิก เริ่มต้นคุณต้องนับจำนวนคนในครอบครัว ญาติๆ และเพื่อนสนิทของคุณก่อน คราวนี้คุณก็จะพอรู้จำนวนแขกที่เหลือที่คุณจะเชิญมาได้ ซึ่งอาจจะต้องมีบางคนที่ถูกตัดออกไปเพราะว่าสถานที่งานอาจจะไม่พอที่จะรอง รับจำนวนคนมี่มากเกินไป
ใครที่เราไม่อยากเชิญมา งานแต่ง
ควร มีการทำความเข้าใจและตกลงกันกับคู่ของคุณก่อนถ้าคุณไม่อยากให้เชิญ แฟนเก่า ของคุณมา ถึงแม้ว่าเค้าจะสนิทสนมกับคู่ของคุณ หรือเพื่อนสนิทของคุณก็ตาม แขกประเภทอื่นๆ ที่ไม่ควรเชิญ เช่น
- แขกที่จะพาคนอื่นที่เราไม่รู้จักมาด้วย (ซึ่งบางครั้งอาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณได้อีกด้วย)
- คนที่ดื่มจัด และก็ไม่ได้สนิทกับคุณมากอีกด้วย
- คนที่เรารู้จักในแง่ธุรกิจ
- คนที่เคยมีเรื่องกับคุณหรือเคยมีปัญหาบาดหมางกับคุณ
ใครคือผู้ที่ออกค่าใช้ จ่ายให้งานแต่งของคุณ
ถ้า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้งานแต่งคุณ คุณควรให้ความสำคัญกับแขกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการเชิญก่อน ซึ่งคุณควรปรึกษาท่านก่อนว่าแขกหรือเพื่อนๆที่ท่านจะเชิญมางานแต่งนั้นมี ประมาณกี่คน หากมีมากเกินไปหรือน้อยกว่าขนาดของงานแต่งงานที่คุณต้องการ ก็ต่อรองกับท่านได้ ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ แต่ถ้าหากคุณเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง มันก็จะง่ายขึ้น
คุณสามารถรับกับค่าใช้ จ่ายที่เกิดขึ้นได้มากแค่ไหน
หลัง จากที่คุณได้ทำการกำหนดงบประมาณสำหรับงานแต่งแล้ว (ขอให้มีความเป็นได้มากที่สุด) คุณก็จะพอรู้แล้วว่าจะเชิญแขกมาร่วมงานได้กี่คน ถามตัวคุณเองด้วยว่ามันจำเป็นมากหรือไม่ที่จะต้องเชิญแขกมามากมาย หรือต้องมีอาหารหรูหราจำนวนมากให้กับแขกใด้ชิมกัน แม้ว่างานแต่งจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่าแขกที่เพิ่มขึ้นมาก็คือเงินที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มในที่สุด ถ้าคุณมีงบประมาณไม่มากนัก ก็น่าจะเหมาะกับงานแต่งงานเล็กๆ น่ารักๆ

เทคนิคการเลือกของชำร่วย

ของชำร่วย เป็นเสมือนของขวัญแทนใจจากคู่บ่าว สาว เป็นของระลึกแทนคำขอบคุณสำหรับแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าบ่าว-สาว ควรเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพราะจะเป็นบ่งบอกความเป็นตัวเองของคู่ บ่าวสาวด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้มีหลักในการเลือกของชำร่วยอย่างง่ายๆ ดังนี้ คือ

1. เลือกให้เข้ากับ Theme งานของคุณ โดยอาจพิจารณาจากโทนสี หรือสไตล์ เช่น เป็นงาน Indoor ในโรงแรมหรู หรือ Outdoor ที่สนามหญ้าหรือชายหาด เป็นต้น
2. ค้นหาสไตล์ที่ชอบโดยดูข้อมูลคร่าวๆ ผ่านเว็ปไซต์ หรืออาจสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากญาติๆ หรือ เพื่อนสนิท ที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว
3. พิจารณาจากงบประมาณที่วางไว้ โดยเปรียบเทียบราคาสินค้าแต่ละร้าน ซึ่งของชำร่วยโดย ส่วนมากมักมีราคาตั้งแต่ 3-5 บาท จนถึงของมีค่าราคานับร้อยบาท ถ้าต้องการสั่งทำเป็นกรณี พิเศษ ทั้งนี้ หากต้องการประหยัดงบประมาณ ราคาไม่เกิน 10 บาท/ชิ้น ยกเว้นในกรณีที่อาจจะมีแขกพิเศษ ที่เป็นผู้ใหญ่มาร่วม งานด้วย ก็อาจจะสั่งทำเป็นพิเศษเฉพาะแขกพิเศษท่านนั้นก็เป็นได้
4. การสั่งทำของชำร่วยอาจคำนวณเพิ่มจากจำนวนการ์ดที่ สั่งพิมพ์ ประมาณ 5-10% เพราะในกรณีที่ของชำร่วยสวยถูกใจ มากเป็นพิเศษ แขกบางคนที่ค่อนข้างสนิทสนมกัน อาจขอเพิ่ม อีกได้

การเตรียมการ์ดแต่งงาน

การ์ดแต่งงานเป็นเสมือนตัวแทน กล่าวเชื้อเชิญบุคคลสำคัญ เปรียบเสมือนพยานแห่งรักของคุณ ซึ่่งเป็นสาส์นบอกเล่าให้ทุกคนทราบ ถึงรายละเอียดของพิธีแต่งงาน ครั้งนี้ การ์ดแต่งงานหรือบัตรเชิญจึงปราการด่านแรก ที่สร้างความประทับใจแรกที่ผู้ร่วมงานสัมผัสได้ และรูปแบบการ์ดยังแสดงถึงเอกลักษณ์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ครอบครัวทั้งสองฝ่าย เช่นความหรูหรา ความเรียบง่าย หรือความสดใสความสนุกสนานเป็นกันเอง การ์ด แต่งงานจึงมีความสำคัญมากกว่า จดหมายแจ้งข่าว ในวาระสำคัญเช่นนี้ เพื่อความสะดวกและประหยัดเวลาอันมีค่าช่วงก่อนงานแต่งงาน ควรเตรียมรายละเอียดที่จะระบุในการ์ดแต่งงาน และวางแผนการดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้.

       การเตรียม ข้อมูลในการ์ดแต่งงาน และจำนวนการ์ด
       รายชื่่อ บุคคลสำคัญต่าง ๆ ที่ท่านต้องจัดพิมพ์การ์ด เช่น เริ่มจากประธาน(ถ้ามี), ชื่่อ-สกุลเจ้าภาพ ฝ่ายเจ้าบ่าว-เจ้าสาว, ชื่่อ-สกุลเจ้าบ่าว-เจ้าสาว, สถานที่จัดงาน, รวมถึงงานหมั้น(ถ้ามี), ลักษณะการจัดเลี้ยง เช่น ค็อกเทล บุฟเฟ่ต์ หรือโต๊ะจีน และจำนวนการด์ที่ต้องใช้

       
การเตรียมรายชื่อแขกที่มาร่วม งาน
       
ตรวจสอบ ความถูกต้องของการสะกดรายชื่่อแขกสำหรับพิมพ์ลงบนซอง สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ความถูกต้องของข้อมูลบนการ์ด เช่นความถูกต้องของการสะกดชื่อ - สกุล รายชื่อแขกที่สำหรับพิมพ์ลงบซอง การตรวจทานก่อนการพิมพ์ จึงควรทำอย่างพิถีพิถัน โดยช่วยกันทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเนื่องจากข้อมูลมักจะได้มาจากทั้งสอง ฝ่าย
       สำหรับ ระยะเวลาการผลิตมักขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการ์ด จึงควรติดต่อกับผู้ผลิตการ์ดแต่งงานแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนวันแต่ง อย่างน้อย 4 - 6 สัปดาห์
       ที่สำคัญที่สุดคุณควรหาร้านที่ไว้ใจได้ในการ พิมพ์การ์ดของคุณ ทั้งคุณภาพ ราคา และการตรงต่อเวลาสิ่งเหล่านี้ถือ เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกหรือตัดสินใจการผลิตสาส์นรักของคุณครั้งนี้

     ท้ายนี้ ขออวยพรให้คู่บ่าว-สาว ทุกคู่ ผ่านงานที่สำคัญที่สุึดในชีวิตคุณ ไปได้ด้วยดี และราบรื่น สมดังตั้งใจไว้
และขอให้ชีวิต คู่ ของท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป